เมนู

อรรถกถาสุรุจิชาดก


พระศาสดาเมื่อทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ ณ ปุพพาราม
ปราสาทของมิคารมารดา
ทรงพระปรารภพร 8 ประการ ที่มหาอุบาสิกา
วิสาขาได้รับ ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า มเหสี รุจิโน ภริยา ดังนี้.
เรื่องพิสดารมีว่า วันหนึ่งนางวิสาขาฟังธรรมกถาในพระเชตวันวิหาร
แล้วกราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ากับภิกษุสงฆ์ฉันเช้า แล้วกลับเรือน.
พอล่วงราตรีนั้นมหาเมฆอันเป็นไปในทวีปทั้งสี่ยังฝนให้ตก. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสเรียกพวกภิกษุมา ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝนตกในเชตวัน
อย่างใด ตกในทวีปทั้งสี่อย่างนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาเมฆกลุ่มสุดท้าย
พึงเปียกกายเราได้ ขณะที่ฝนกำลังตก ก็เสด็จหายไปจากพระเชตวันกับพวก
ภิกษุด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏที่ซุ้มประตูของนางวิสาขา. อุบาสิกายินดีร่าเริง
บันเทิงใจว่า อัศจรรย์นัก พ่อเจ้าพระคุณเอ๋ย พิศวงนัก พ่อมหาจำเริญเอ๋ย
เพราะความที่พระตถาคตทรงมีฤทธิ์มาก ทรงอานุภาพมาก ในเมื่อ
ห้วงน้ำเพียงเข่าก็มี เพียงเอวก็มีกำลังไหลไป เท้าหรือจีวรของภิกษุแม้
รูปหนึ่งที่ชื่อว่าเปียกไม่มีเลยแหละ แล้วอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธองค์
เป็นประมุข ได้กราบทูลข้อนี้ กะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเสร็จภัตกิจ
แล้วว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพร 8 ประการ
กะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระเจ้าข้า. ตรัสว่า วิสาขา พระตถาคตทั้งหลายผ่านพ้น
พรไปแล้วละ. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรใด ๆ ควรแก่
ข้าพระองค์ และพรใด ๆ ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ทูลขอพรนั้น ๆ พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า กล่าวเถิดวิสาขา. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอ

ปรารถนาเพื่อจะถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุสงฆ์ตลอดชีพ ฯลฯ เพื่อจะถวายภัต
แก่ภิกษุผู้มา ฯลฯ ภัตแก่ภิกษุผู้จะไป ฯลฯ ภัตรแก่ภิกษุไข้ ฯลฯ ภัตแก่ภิกษุ
ผู้พยาบาลไข้ ฯลฯ ยาแก่ภิกษุผู้ไข้ ฯลฯ ข้าวยาคูประจำ เพื่อจะถวายผ้าอาบ
แด่ภิกษุณีสงฆ์. พระศาสดาตรัสถามว่า วิสาขา เธอเห็นอำนาจประโยชน์
อะไรถึงขอพร 8 ประการกะพระตถาคต เมื่อนางกราบทูลอานิสงส์ของพร 8
ประการแล้ว ตรัสว่า ดีละ ดีละ วิสาขา เธอเห็นอานิสงส์เหล่านั้น ขอพร
8 ประการ แล้วประทานพร 8 ประการ ด้วยพระดำรัสว่า วิสาขา เราอนุญาต
พร 8 ประการแก่เธอ แล้วทรงอนุโมทนาเสร็จเสด็จหลีกไป. อยู่มาวันหนึ่ง
เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ ณ ปุพพาราม พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้น
สนทนาในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย มหาอุบาสิกาวิสาขา แม้ดำรงใน
อัตภาพมาตุคาม ก็ยังได้พร 8 ประการจากสำนักทศพล โอ ! นางมีคุณมาก.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอสนทนา
กันด้วยเรื่องอะไร เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่วิสาขาได้รับพรในสำนักของเรา
แม้ในครั้งก่อนก็เคยได้รับแล้วเหมือนกัน ทรงนำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามสุรุจิเสวยราชสมบัติในพระ-
นครมิถิลา ทรงได้พระราชโอรส ก็ได้ทรงขนานพระนามพระราชโอรสนั้นว่า
สุรุจิกุมาร. พระกุมารทรงเจริญวัย ทรงดำริว่า เราจักเรียนศิลปะในเมือง
ตักกศิลา เสด็จไปประทับนั่งพักที่ศาลาใกล้ประตูพระนคร. ฝ่ายพระราช
โอรสของพระเจ้าพาราณสี ทรงพระนามพรหมทัตกุมาร ก็เสด็จไปในที่นั้น
เหมือนกัน ประทับนั่งพักเหนือแผ่นกระดาน ที่พระสุรุจิกุมารประทับนั่งนั้นแล.
พระกุมารทั้งสองทรงไต่ถามกันแล้ว มีความสนิทสนมกัน ไปสู่สำนักอาจารย์
ร่วมกันทีเดียว ทรงให้ค่าคำนับอาจารย์ ตั้งต้นเรียนศิลปะ ไม่ช้านานนัก

ต่างก็สำเร็จศิลปะ พากันอำลาอาจารย์ เสด็จร่วมทางกันมาหน่อยหนึ่ง ประทับ
ยืนที่ทางสองแพร่ง ทรงสวมกอดกันไว้ ต่างทรงกระทำกติกากัน เพื่อจะทรง
รักษามิตรธรรมให้ยั่งยืนไปว่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอรส ท่านมีพระธิดา หรือท่านมี
พระโอรส ข้าพเจ้ามีธิดา เราจักกระทำอาวาหมงคล และวิวาหมงคล แก่โอรส
และธิดาของเรานั้น. ครั้นกุมารทั้งสองเสวยราชสมบัติ พระสุรุจิมหาราชมีพระ
โอรส. พระประยูรญาติขนานพระนามพระโอรสนั้นว่า สุรุจิกุมาร.
พระพรหมทัตมีพระธิดา. พระประยูรญาติขนานนามพระธิดานั้นว่า สุเมธา.
พระกุมารสุรุจิทรงจำเริญวัยเสด็จไปเมืองตักกศิลา ทรงเรียนศิลปะเสร็จเสด็จมา.
พระราชบิดามีพระประสงค์จะอภิเษกพระกุมารในราชสมบัติ ทรงพระ
ดำริว่าข่าวว่า พระเจ้าพาราณสีพระสหายของเรามีพระธิดา เราจักสถาปนานาง
นั้นแลให้เป็นอัครมเหสีของลูกเรา ทรงประทานบรรณาการเป็นอันมาก ทรงส่ง
พวกอำมาตย์ไปเพื่อต้องการพระนางนั้น. ขณะที่พวกอำมาตย์เหล่านั้นยังมา
ไม่ถึง พระเจ้าพาราณสีตรัสถามพระเทวีว่า นางผู้เจริญ อะไรเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ของมาตุคาม. พระเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม ความหึงหญิงที่
รวมผัว เป็นความทุกข์ของมาตุคามเจ้าค่ะ.. ตรัสว่า นางผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น
เราต้องช่วยกันเปลื้องสุเมธาเทวีลูกหญิงของเราจากทุกข์นั้น เราจักให้แก่ผู้ที่จัก
ครองเธอแต่นางเดียวเท่านั้น. เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นพากันมาถึงทูลรับพระนาม
ของพระนางแล้ว ท้าวเธอจึงตรัสว่า ดูราพ่อทั้งหลาย อันที่จริง เมื่อก่อนข้าพเจ้า
กระทำปฏิญาณไว้กับพระสหายของข้าพเจ้า ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็มิได้ประสงค์เลย
ที่ส่งนางเข้าไปภายในกลุ่มสตรี เราประสงค์ที่ให้นางแก่ผู้ที่จะครองนางผู้เดียว
เท่านั้น. อำมาตย์เหล่านั้นพากันส่งข่าวสู่สำนักพระราชา พระราชาตรัสว่า
ราชสมบัติของเราใหญ่หลวง มิถิลานครมีอาณาเขตถึง 7 โยชน์ กำหนดแห่ง
ราชัยถึง 300 โยชน์ อย่างต่ำสุด ควรจะได้สตรี 16,000 นาง แล้วมิได้ทรง

บอกไป. แต่พระกุมารสุรุจิทรงสดับรูปสมบัติของพระนางสุเมธาแล้ว ก็ติดพระ
หทัยด้วยการเกี่ยวข้องโดยสดับ จึงส่งกระแสพระดำรัสถึงพระราชบิดามารดาว่า
หม่อมฉันจักครองนางผู้เดียวเท่านั้น หม่อมฉันไม่ต้องการกลุ่มสตรี โปรดเชิญ
นางมาเถิด. พระราชบิดามารดาไม่ทรงขัดพระหทัยของพระกุมาร ทรงส่ง
ทรัพย์เป็นอันมาก เชิญพระนางมาด้วยบริวารขบวนใหญ่แล้วทรงอภิเษกร่วม
กัน กระทำพระนางให้เป็นพระมเหสีของพระกุมาร. พระกุมารนั้นทรงพระนาม
ว่า สุรุจิมหาราช ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม ทรงอยู่ร่วมกับพระนางด้วย
ความรัก. ก็พระนางประทับอยู่ในพระราชวังของท้าวเธอตลอด 10,000 ปี ไม่
ทรงได้พระโอรสหรือพระธิดาเลย.
ครั้งนั้นชาวเมืองประชุมกันชวนกันร้องขานขึ้นในท้องพระลานหลวง
เมื่อท้าวเธอดำรัสว่า นี่อะไรกัน ก็กราบทูลว่า โทษของพระราชาไม่มี
พระเจ้าข้า แต่พระโอรสผู้จะสืบวงศ์ของพระองค์ยังไม่มีเลย พระองค์ทรง
มีพระเทวีพระนางเดียว ธรรมดาราชสกุลต้องมีหญิง 16,000 นาง เป็น
อย่างต่ำที่สุด พระองค์โปรดรับกลุ่มสตรีเถิดพระเจ้าข้า เผื่อบรรดาหญิง
เหล่านั้นจักมีสักคนหนึ่งที่มีบุญ จักได้พระโอรส ถูกท้าวเธอตรัสห้ามเสีย
ว่า พ่อคุณเอ๋ย พากันพูดอะไร เราได้ปฏิญาณไว้แล้วว่า จักไม่ครองหญิง
อื่นเลย จึงได้เชิญหญิงนี้มาได้ เราไม่มุสาวาทได้ เราไม่ต้องการกลุ่ม
แห่งสตรี เลยพากันหลีกไป. พระนางสุเมธาทรงสดับพระดำรัสนั้น ดำริว่า
พระราชามิได้ทรงนำสตรีอื่น ๆ มาเลย เพราะทรงพระดำรัสตรัสจริงแน่นอน
แต่เรานี่แหละจักหามาถวายแก่พระองค์ ทรงดำรงในตำแหน่งพระมเหสีเช่นพระ
มารดาของพระราชา จึงทรงนำมาซึ่งสตรี 4,000 นาง คือสาวน้อยเชื้อกษัตริย์
1,000 เชื้อขุนนาง 1,000 เชื้อเศรษฐี 1,000 นางระบำผู้ชำนาญในกระบวน
ฟ้อนรำทุกอย่าง 1,000 คัดที่พอพระหฤทัยของพระนาง. แม้พวกนั้นพากันอยู่
ในราชสกุลตั้ง 10,000 ปี ก็ไม่ได้พระโอรสหรือธิดาดุจกัน. พระนางคัดพวก
อื่น ๆ มาถวายคราวละ 4,000 ถึงสามคราว. แม้พวกนั้นก็ไม่ได้พระโอรส

พระธิดา. รวมเป็นหญิงที่พระนางนำมาถวาย 16,000 นาง. เวลาล่วงไป 40,000
ปี รวมกับเวลาที่ทรงอยู่กับพระนางองค์เดียว 10,000 ปี เป็น 50,000 ปี.
ครั้งนั้นชาวเมืองประชุมชวนกันร้องขานขึ้นอีก เมื่อท้าวเธอตรัสว่า เรื่องอะไร
กันเล่า พากันกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์โปรดบังคับพระเทวี
ทั้งหลาย เพื่อปรารถนาพระโอรสเถิดพระเจ้าข้า. พระราชาทรงรับว่า ดีแล้ว
ตรัส (กะพระเทวี) ว่าพวกเธอปรารถนาบุตรเถิด. ตั้งแต่นั้นพระเทวีเหล่านั้น
เมื่อปรารถนาพระโอรส พากันนอบน้อมเทวดาต่าง ๆ พากันบำเพ็ญวัตรต่าง ๆ
พระโอรสก็ไม่อุบัติอยู่นั่นเอง.
ครั้งนั้นพระราชาตรัสกะพระนางสุเมธาว่า นางผู้เจริญ เชิญเธอ
ปรารถนาพระโอรสเถิด. พระนางรับพระดำรัสว่า สาธุแล้ว ครั้นถึงดิถี
ที่ 15 ทรงสมาทานอุโบสถ ประทับนั่งเหนือพระแท่นอันสมควร ทรงระลึก
ถึงศีลทั้งหลายอยู่ในพระตำหนักอันทรงสิริ. พระเทวีที่เหลือพากันประพฤติวัตร
อย่างแพะอย่างโคต่างไปสู่พระอุทยาน. ด้วยเดชเเห่งศีลของพระนางสุเมธาพิภพ
ของท้าวสักกะหวั่นไหว. ท้าวสักกะทรงนึกว่า นางสุเมธาปรารถนาพระโอรส
เราต้องให้โอรสแก่เธอ แต่ว่าเราไม่อาจที่จะให้ตามมีตามได้ ต้องเลือกเฟ้น
โอรสที่สมควรแก่เธอ เมื่อทรงเลือกเฟ้นก็ทรงเห็นเทพบุตรนฬการ. แท้จริง
เทพบุตรนฬการนั้นเป็นสัตว์ถึงพร้อมด้วยบุญ เมื่ออยู่ในนครพาราณสี ใน
อัตภาพครั้งก่อน ถึงเวลาหว่านข้าวไปไร่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ส่งพวกทาสและกรรมกรไปหว่านกัน ตนเองกลับพาพระปัจเจกพุทธเจ้าไปสู่
เรือน ให้ฉันแล้วนิมนต์มาที่ฝั่งคงคา ร่วมมือกันกับลูกชายสร้างบรรณศาลา
เอาไม้มะเดื่อเป็นเชิงฝา เอาไม้อ้อเป็นฝา ผูกประตู ทำที่จงกรม นิมนต์
พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ ณ บรรณศาลานั้นแหละตลอดไตรมาส ท่านจำพรรษา

แล้ว พ่อลูกทั้งคู่ ก็นิมนต์ให้ครองไตรจีวร แล้วส่งท่านไป. ด้วยทำนองนี้เอง
ได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าถึง 7 องค์ ให้อยู่ ณ บรรณศาลานั้น แล้วให้ครอง
ไตรจีวร. บางอาจารย์กล่าวว่า พ่อลูกทั้งคู่เป็นช่างจักสานกำลังขนเอาไม้ไผ่ที่
ฝั่งคงคา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงพากันกระทำเช่นนั้น ดังนี้ก็มี. พ่อลูก
ทั้งคู่นั้น ครั้นทำกาลกิริยาบังเกิดในภพดาวดึงส์ เสวยอิสริยะแห่งเทวดาอันใหญ่
กลับไปกลับมา อยู่ในกามภพทั้ง 6 ชั้น. เทพบุตรทั้งคู่นั้นปรารถนาจะจุติจาก
ชั้นนั้นไปบังเกิดในเทวโลกชั้นสูง.
ท้าวสักกะทรงทราบความเป็นอย่างนั้น เสด็จไปถึงประตูวิมานของ
เทพบุตรองค์หนึ่งในสององค์นั้น ตรัสกับเทพบุตรนั้นผู้มาบังคมแล้วยืนอยู่ว่า
ดูราท่านผู้นิรทุกข์ ควรที่ท่านจะไปสู่มนุษยโลก. เธอทูลว่า ข้าแต่มหาราช
โลกมนุษย์น่ารังเกียจสกปรก ฝูงชนที่ตั้งอยู่ในโลกมนุษย์นั้น ต่างทำบุญมี
ให้ทานเป็นต้น ปรารถนาเทวโลก ข้าพระองค์จักไปในโลกมนุษย์นั้นทำ
อะไร. ตรัสว่า ผู้นิรทุกข์ ท่านจักได้บริโภคทิพสมบัติที่เคยบริโภคในเทว
โลกในโลกมนุษย์ จักได้อยู่ในปราสาทแก้วสูง 25 โยชน์ ยาว 9 โยชน์
กว้าง 8 โยชน์ เชิญท่านรับคำเถิด. เธอจึงรับ. ท้าวสักกะทรงถือปฏิญญา
ของเธอแล้ว เสด็จไปสู่อุทยานด้วยแปลงเพศเป็นฤาษี จงกรมในอากาศ
เบื้องบนสตรีเหล่านั้น ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏ ตรัสว่า อาตมภาพจะให้
โอรสผู้ประเสริฐแก่นางคนไหนเล่า นางคนไหนจักรับโอรสผู้ประเสริฐ. สตรี
1,000 นางต่างยอหัตถ์วิงวอนว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ โปรดให้แก่ดิฉัน ๆ.
ทีนั้นท้าวสักกะก็ตรัสว่า อาตมภาพจะให้โอรสแก่หมู่สตรีที่มีศีล พวกเธอมีศีล
อย่างไร มีอาจาระอย่างไรเล่า. สตรีเหล่านั้นพากันลดมือที่ยกขึ้นลงหมดกล่าวว่า
ถ้าพระคุณเจ้าปรารถนาจะให้เเก่สตรีผู้มีศีล เชิญไปสู่สำนักของพระนางสุเมธาเถิด.
ท้าวเธอก็เหาะไปทางอากาศนั้นเอง ประทับยืนตรงช่องพระแกลใกล้พระทวาร
ปราสาทของพระนาง. ครั้งนั้นสตรีเหล่านั้นพากันกราบทูลแด่พระนางว่า ทูล

กระหม่อมแม่เจ้าขา เชิญพระแม่เจ้าเสด็จมาเถิด เทวราชพระองค์หนึ่งประสงค์
จะถวายพระโอรสผู้ประเสริฐแด่พระแม่เจ้า เหาะมาทางอากาศกำลังสถิตที่ช่อง
พระแกล เจ้าข้า. พระนางเสด็จไปด้วยท่าทางอันตระหนัก ทรงเปิดพระแกลตรัส
ว่าข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ได้ยินว่า พระคุณเจ้าจะให้โอรสผู้ประเสริฐ แก่สตรี
ผู้มีศีล เป็นความจริงหรือพระเจ้าข้า. ท้าวเธอตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี ขอถวาย
พระพรเป็นความจริง. พระนางตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้าโปรดให้
แก่ดิฉัน . ตรัสถามว่า ก็ศีลของบพิตรเป็นอย่างไร เชิญตรัส ถ้าชอบใจอาตมภาพ
อาตมภาพจักถวายพระโอรสผู้ประเสริฐ. พระนางทรงสดับพระดำรัสของท้าว
เธอแล้วตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เชิญพระคุณเจ้าค่อยสดับเถิด เมื่อจะทรงแถลงศีล
คุณของตน ได้ทรงภาษิตพระคาถา 5 คาถาว่า
ดิฉันถูกเชิญมา เป็นพระอัครมเหสีคนแรกของ
พระเจ้าสุรุจิตลอดเวลาหมื่นปี พระเจ้าสุรุจินำดิฉันมา
ผู้เดียว ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันนั้นมิได้รู้สึกเลยว่า
ได้ล่วงเกินพระเจ้าสุรุจิผู้เป็นจอมประชาชนชาววิเทห-
รัฐครองพระนครมิถิลา ด้วย กาย วาจา หรือใจ
ทั้งในที่แจ้งหรือในที่ลับเลย ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการ
กล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าว
คำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก 7 เสี่ยง.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ดิฉันเป็นที่พอใจของพระ-
ภัสดา พระชนนีและพระชนกของพระภัสดาก็เป็นที่รัก
ของดิฉัน พระองค์ท่านเหล่านั้นทรงแนะนำดิฉัน
ตลอดเวลาที่พระองค์ท่านยังทรงพระชนมชีพอยู่ ดิฉัน

นั้นยินดีในความไม่เบียดเบียน มีปกติประพฤติธรรม
โดยส่วนเดียว มุ่งบำเรอพระองค์ท่านเหล่านั้นโดย
เคารพ ไม่เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ข้าแต่
พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิด
เถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก
7 เสี่ยง.
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ความริษยาหรือความโกรธ
ในสตรีผู้เป็นราชเทวีร่วมกัน 16,000 คน มิได้มีแก่
ดิฉันในกาลไหน ๆ เลย ดิฉันชื่นชมด้วยความเกื้อกูล
แก่พระราชเทวีเหล่านั้น และคนไหนที่จะไม่เป็นที่รัก
ของดิฉันไม่มีเลย ดิฉันอนุเคราะห์หญิงผู้ร่วมสามีทั่ว
กันทุกคน ในกาลทุกเมื่อ เหมือนอนุเคราะห์ตนฉะนั้น
ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตร
จงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉัน
จงแตก 7 เสี่ยง.
ดิฉันเลี้ยงดูทาสกรรมกร ซึ่งจะต้องเลี้ยงดูและ
ชนเหล่าอื่นผู้อาศัยเลี้ยงชีวิต โดยเหมาะสมกับหน้าที่
ดิฉันมีอินทรีย์อันเบิกบานในกาลทุกเมื่อข้าแต่พระฤาษี
ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้ ขอบุตรจงเกิดเถิดเมื่อดิฉัน
กล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของดิฉันจงแตก 7 เสี่ยง.
ดิฉันมีฝ่ามืออันชุ่มเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ และ
วณิพกเหล่าอื่น ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ

ทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้
ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะ
ของดิฉันจงแตกเป็น 7 เสี่ยง.
ดิฉันเข้าอยู่ประจำอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์
8 ประการ ตลอดดิถีที่ 14, 15 และดิถีที่ 8 แห่งปักษ์
และตลอดปาฏิหาริยปักษ์ ดิฉันสำรวมแล้วในศีล
ทุกเมื่อ ข้าแต่พระฤาษี ด้วยการกล่าวคำสัตย์จริงนี้
ขอบุตรจงเกิดเถิด เมื่อดิฉันกล่าวคำเท็จ ขอศีรษะของ
ดิฉันจงแตก 7 เสี่ยง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มเหสี ได้แก่ พระอัครมเหสี. บทว่า
รุจิโน ได้แก่ พระราชา. ทรงพระนามว่า สุรุจิ. บทว่า ปฐมํ ความว่า
ดิฉันได้มาเป็นอัครมเหสีคนแรกก่อนกว่าหญิงทั้งปวง บรรดาหญิง 16,000 คน.
บทว่า ยํ มํ ความว่า จำเดิมแต่พระเจ้าสุรุจิทรงนำดิฉันมาเพื่อความอยู่ร่วมกัน
อย่างเป็นสุข ดิฉันได้เป็นหญิงผู้เดียวเท่านั้น ที่ได้อยู่ในพระตำหนักนี้ตลอด
10,000 ปี. บทว่า อติมญฺญิตฺถ ความว่า ดิฉันนั้นไม่เคยทราบไม่เคยระลึก
เลยว่า ดิฉันล่วงเกินพระราชาสุรุจิแล้วทั้งต่อหน้าหรือลับหลังแม้โดยครู่เดียว.
เธอเรียกฤาษีนั้นว่า อีเส. บทวา เต มํ ความว่า พระชนกและพระชนนี
ของพระภัสดาทั้งสองพระองค์นั้น ทรงโปรดนำดิฉันมา. บทว่า วิเนตาโร
ความว่า ดิฉันได้รับแนะนำจากพระองค์ท่านทั้ง 2 แล้ว พระองค์ท่านทั้ง 2
นั้น ยังทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ก็คงจะทรงประทานพระโอวาทแก่ดิฉันไป
ตราบนั้น. บทว่า อหึสา รตินี ความว่า ดิฉันประกอบแล้วด้วยเจตนา
อันเป็นเหตุงดเว้น กล่าวคือความไม่เบียดเบียน หมายความว่า ดิฉันไม่เคย

เบียดเบียนสัตว์อะไรตั้งต้นแต่มดดำมดแดงไปทีเดียว. บทว่า กามสา แปลว่า
มุ่งหน้าโดยส่วนเดียว. บทว่า ธมฺมจารินี ความว่า ดิฉันบำเพ็ญในกุศลกรรมบถ
10 ประการ. บทว่า อุปฏฺฐาสึ ความว่า ดิฉันทำกิจต่าง ๆ มีการบริกรรม
พระบาทเป็นอาทิ ปรนนิบัติพระองค์ท่านทั้งสอง. บทว่า สหภริยานิ ความว่า
เป็นภรรยาแห่งสามีเดียวกันกับดิฉัน. บทว่า นาหุ ความว่า ธรรมคือความ
ริษยา หรือธรรมคือความโกรธ เพราะอาศัยกิเลส มิได้มีแก่ดิฉันเลย. บทว่า
หิเตน ความว่า กิจใดเป็นกิจเกื้อกูลแก่หญิงเหล่านั้น ดิฉันย่อมชื่นชมยินดี
ด้วยประโยชน์เกื้อกูลของหญิงเหล่านั้นแท้ ๆ ดิฉันยินดีเห็นหญิงเหล่านั้น เป็น
เหมือนบุตรธิดาในอ้อมอกฉะนั้น. บทว่า กาจิ ความว่า บรรดาหญิงเหล่านั้น
แม้เพียงคนเดียวที่จะชื่อว่าดิฉันไม่รักไม่มีเลย ดิฉันรักทุกคนทีเดียว. บทว่า
อนุกมฺปามิ ความว่า ดิฉันเอ็นดูหญิงทั้ง 16,000 นางนั้นทุกคนด้วยจิตอ่อนโยน
เหมือนเอ็นดูตนก็ปานกัน. บทว่า สห ธมฺเมน ความว่า ดิฉันเลี้ยงดูตาม
หน้าที่ที่จะมอบให้เขาทำได้ หมายความว่า ผู้ใดสามารถจะทำกรรมใด ดิฉัน
ก็ใช้ผู้นั้นในกรรมนั้น. บทว่า ปทุทิตินฺทฺริยา ความว่า เมื่อใช้เล่าก็ยิ้มแย้ม
แจ่มใสเป็นนิตย์ทีเดียว ดิฉันไม่เคยใช้ใคร ๆ อย่างกราดเกรี้ยวว่า อีทาสอีตัว
ร้าย มึงจงทำการอันนี้ซิเว้ย ดังนี้เลยในกาลไหน ๆ. บทว่า ปยตปาณินี
ความว่า เป็นผู้มีมืออันล้างแล้ว เหยียดมือออกแล้วทีเดียว. บทว่า ปาริหา-
ริยปกฺขญฺจ
ความว่า 4 วัน ด้วยอำนาจวันรับและวันส่ง คือวัน 5 ค่ำ
วัน 8 ค่ำ วัน 14 ค่ำ วัน 15 ค่ำ. บทว่า สทา ความว่า เป็นผู้สำรวม
ในศีล 5 ตลอดกาลเป็นนิตย์ คือเป็นผู้มีอัตภาพอันศีลเหล่านั้นปกป้องคุ้มครอง
ไว้แล้ว.
ธรรมดาว่าการประมาณของพระนาง ซึ่งแม้จะพรรณนา 100 คาถา
1,000 คาถา ก็หาเพียงพอไม่ ด้วยประการฉะนี้. ในเวลาที่พระนางพรรณนาคุณ

ของตนได้ด้วยพระคาถา 15 เท่านั้น ท้าวสักกะก็ตัดพระดำรัสของพระนางเสีย
เพราะท้าวเธอมีกิจที่ต้องกระทำมาก เมื่อจะทรงสรรเสริญพระนางว่า คุณของ
พระนางจริงทั้งนั้น จึงตรัส 2 คาถาว่า
ดูก่อนราชบุตรี ผู้เรืองยศงดงาม คุณอันเป็นธรรม
เหล่านั้นมีทุกอย่าง พระราชโอรสผู้เป็นกษัตริย์ สมบูรณ์
ด้วยพระชาติ เป็นอภิชาตบุตร เรืองพระยศเป็นธรรม
ราชาแห่งชนชาววิเทหะ จงอุบัติแก่พระนาง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมคุณา ได้แก่ มีคุณตามความเป็นจริง
คือมีคุณเป็นจริง. บทว่า สํวิชฺชนฺติ ความว่า พระคุณเหล่าใดเล่าที่พระองค์
ตรัสแล้ว พระคุณเหล่านั้นทั้งหมดทีเดียว สมบูรณ์เพียบพร้อมในพระองค์.
บทว่า อภิชาโต ความว่า พระราชโอรสผู้ทรงพระกำเนิดบริสุทธิ์ทั้ง 2 ฝ่าย.
บทว่า ยสสฺสิมา ความว่า ทรงเพียบพร้อมด้วยสมบัติ คือ ยศและสมบัติ
คือบริวาร. บทว่า อุปฺปชฺชเต ความว่า บุตรเห็นปานนี้จักบังเกิดแต่พระองค์
และอย่าทรงวิตกไปเลย.
พระนางทรงสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้ว ทรงโสมนัส เมื่อจะ
ตรัสถามท้าวเธอได้ทรงภาษิต 2 พระคาถาว่า
ท่านผู้มีดวงตาน่ายินดี ทรงผ้าคลุกธุลี สถิตอยู่
บนเวหาอันไม่มีสิ่งใดกั้น ได้กล่าววาจาอันเป็นที่พอใจ
จับใจของดิฉัน ท่านเป็นเทวดามาจากสวรรค์ เป็นฤาษี
ผู้มีฤทธิ์มาก หรือว่าเป็นใครมาถึงที่นี้ ขอท่านจงกล่าว
ความจริงให้ดิฉันทราบด้วย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุมฺหิ ความว่า พระนางตรัสเรียก
อย่างนี้ ก็เพราะท้าวสักกะทรงมีพระเนตรไม่กระพริบเลย เมื่อเสด็จมาก็เสด็จ

มาด้วยเพศเป็นดาบสอันน่ายินดี โดยเป็นบรรพชิต (ท่านมาสถิตในเวหา).
บทว่า อเฆ ได้แก่ ในที่ที่ไม่มีสิ่งใดกั้น. บทว่า ยํ มยฺหํ ความว่า ท่าน
กำลังกล่าวคำอันน่าพอใจของดิฉันนี้นั้นน่ะ เป็นเทวดาจากสวรรค์มา ณ ที่นี้
หรือไม่อีกทีก็เป็นฤาษีผู้มีฤทธิ์มาก หรือในบรรดาเทพเจ้า มีท้าวสักกะเป็นต้น
ท่านเป็นเทพเจ้าองค์ไรเล่า มาปรากฏแล้ว ณ ที่นี้. บทว่า อตฺตานํ เม
ปเวทยา
พระนางตรัสว่า เชิญท่านบอกความจริงให้ดิฉันทราบเถิดเจ้าค่ะ.
ท้าวสักกะ เมื่อจะตรัสบอกแก่พระนาง จึงได้ตรัส 6 พระคาถาว่า
หมู่เทวดามาประชุมกันที่สุธรรมาสภา ย่อมกราบ
ไหว้ท้าวสักกะองค์ใด ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะองค์นั้น
มีดวงตาพันหนึ่งมายังสำนักของท่าน หญิงเหล่าใดใน
เทวโลกเป็นผู้มีปกติประพฤติสม่ำเสมอ มีปัญญา มีศีล
มีพ่อผัวแม่ผัว เป็นเทวดายำเกรงสามี เทวดาทั้งหลาย
ผู้มิใช่มนุษย์มาเยี่ยมหญิงเช่นนั้น ผู้มีปัญญา มีกรรม
อันสะอาด เป็นหญิงมนุษย์ ดูก่อนนางผู้เจริญ ท่าน
เกิดในราชสกุลนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา
ทุกอย่าง ด้วยสุจริตธรรมที่ท่านประพฤติดีแล้วใน
ปางก่อน ดูก่อนพระราชบุตรี ก็แหละข้อนี้เป็นชัยชนะ
ในโลกทั้งสองของท่าน คือ การอุบัติในเทวโลก และ
เกียรติในชีวิตนี้ ดูก่อนพระนางสุเมธา ขอให้พระนาง
จงมีสุข ยั่งยืนนานจงรักษาธรรมไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด
ข้าพเจ้านี้ ขอลาไปสู่ไตรทิพย์ การพบเห็นท่าน เป็น
การพบเห็นที่ดูดดื่มใจของข้าพเจ้ายิ่งนัก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสกฺโข ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้มีดวงตา
ตั้ง 1,000 ด้วยสามารถเล็งเห็นเรื่องที่คนตั้ง 1,000 คน คิดกันเพียงครู่เดียว.
บทว่า อิตฺถิโย ความว่า หญิงทั้งหลายผู้มีปกติประพฤติสม่ำเสมอ คือผู้
ประกอบด้วยการประพฤติสม่ำเสมอด้วยทวารทั้ง 3. บทว่า ตาทิสาย แปลว่า
เห็นปานนั้น. บทว่า สุเมธาย ได้แก่ ผู้มีปัญญาดี. บทว่า อุภยตฺถ
กฏคฺคโห
ความว่า ข้อนี้เป็นการยึดถือชัยไว้ได้ ของท่านทั้งในอัตภาพนี้
และในอนาคต คือ บรรดาโลกนี้และโลกหน้าเหล่านั้น ในอนาคตได้แก่การ
เข้าถึงเทวโลก ในชีวิตที่กำลังเป็นไปอยู่เล่า ก็ได้เกียรติ เหตุนั้น ข้อนี้จึงชื่อว่า
เป็นการถือเอาชัยไว้ได้ในโลกทั้งสอง สุเมธาให้นางมีสุขยืนนานเถิด จงรักษา
ธรรม (คือคุณที่มีจริงอย่างนั้น) ไว้ในตนให้ยั่งยืนเถิด ข้าพเจ้านี้ขอลาไปสู่
สรวงสวรรค์ การพบเห็นท่านเป็นการพบเห็นที่ดูดดื่มแก่ข้าพเจ้า.
ท้าวสักกะประทานโอวาทแก่พระนางว่า ก็กิจที่ต้องกระทำของข้าพเจ้า
มีอยู่ในเทวโลก เหตุนั้น ข้าพเจ้าต้องไป ท่านจงไม่ประมาทเถิดนะ แล้วเสด็จ
หลีกไป. ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง นฬการเทพบุตรก็จุติถือปฏิสนธิในพระครรโภทร
ของพระนาง. พระนางทรงทราบความที่พระองค์ทรงครรภ์ กราบทูลแก่
พระราชา. พระราชาประทานเครื่องผดุงครรภ์ ถ้วนกำหนดทศมาส พระนางก็
ประสูติพระโอรส. พระประยูรญาติทรงขนานพระนามพระโอรสว่า มหาปนาท
ชาวแคว้นทั้งสอง (อังคะและมคธ) พากันทิ้งเหรียญกระษาปณ์ลงที่ท้องพระ-
ลานหลวงคนละ 1 กระษาปณ์ เพื่อให้พระราชาทรงทราบว่า เป็นค่าน้ำนม
ของพระลูกเจ้าแห่งชาวเรา. เหรียญกระษาปณ์ได้เป็นกองใหญ่โต. แม้พระราชา
จะตรัสห้าม ก็พากันกราบทูลว่า จักได้เป็นทุนรอนในเวลาที่พระลูกเจ้าของ
พวกข้าพระองค์ทรงพระเจริญ ต่างไม่รับคืนพากันหลีกไป. พระกุมารทรง

พระเจริญด้วยบริวารมากมาย ครั้นทรงถึงวัยมีพระชนม์ 16 พรรษา ก็ทรง
ลุความสำเร็จในศิลปะทุกประการ. พระราชาทรงตรวจดูพระชนม์ของพระโอรส
แล้ว ตรัสกับพระเทวีว่า นางผู้เจริญในเวลาอภิเษกลูกของเราในราชสมบัติ
จักสร้างปราสาทอันน่ารื่นรมย์ให้เธอแล้วถึงทำการอภิเษก. พระนางรับพระ-
โองการว่า ดีแล้วพระเจ้าคะ. พระราชารับสั่งให้หาอาจารย์ในวิชาพื้นที่มา
ตรัสว่า พ่อทั้งหลาย จงคุมช่างให้สร้างปราสาทเพื่อลูกของเรา ณ ที่ไม่ห่าง
วังของเรา เราจักอภิเษกลูกของเรานั้นในราชสมบัติ. พวกอาจารย์ในวิชา
พื้นที่เหล่านั้น รับพระโองการว่า ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้า
ปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายขอรับใส่เกล้า ฯ แล้วพากันตรวจภูมิ
ประเทศ.
ขณะนั้นพิภพของท้าวสักกะสำแดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงทราบ
เหตุนั้น ตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสสั่งว่า ไปเถิดพ่อเอ๋ย จงสร้าง
ปราสาทแก้วยาว 9 โยชน์ กว้าง 8 โยชน์ สูง 25 โยชน์ ให้แก่มหาปนาท
ราชกุมารเถิด. วิสสุกรรมเทพบุตรแปลงเพศเป็นช่าง ไปสู่สำนักของพวกช่าง
แล้วส่งพวกช่างนั้นไปเสียด้วยคำว่า พวกคุณกินข้าวเช้าแล้วค่อยมาเ5ิด แล้ว
ประหารแผ่นดินด้วยท่อนไม้. ทันใดนั้นเอง ปราสาท 7 ชั้น มีขนาดดังกล่าว
แล้ว ก็ผุดขึ้น. มงคล 3 ประการ คือ มงคลฉลองปราสาท มงคลอภิเษก
สมโภชเศวตฉัตร และอาวาหมงคล ของพระกุมารมหาปนาทได้มีคราวเดียว
กันแล. ชาวแคว้นทั้งสองพากันประชุมในสถานมงคล ให้กาลเวลาล่วงไปถึง
7 ปี ด้วยการมหรสพฉลองมงคล. พระราชามิได้ทรงบอกให้พวกนั้นเลิกงาน
เลย. สิ่งของทั้งหมดเป็นต้นว่า ผ้าเครื่องประดับของเคี้ยวของกิน ของชน
เหล่านั้น ได้เป็นสิ่งของของราชสกุลทั้งนั้นเลย. ครั้นล่วง 7 ปี ฝูงชนเหล่านั้น
พากันร้องทุกข์ พระสุรุจิมหาราชตรัสถามว่า นี่อะไรกันเล่า ก็พากันกราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหาราช เมื่อพวกข้าพระองค์พากันสมโภชการมงคล 7 ปีผ่านไป

แล้ว ที่สุดของงานมงคลจะมีเมื่อไรเล่า พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า
ตลอดกาลถึงเท่านี้ ลูกเราไม่เคยหัวเราะเลย เมื่อใดเธอหัวเราะ เมื่อนั้นพวกเจ้า
ทั้งหลายจงพากันไปเถิด. ครั้งนั้น มหาชนเที่ยวตีกลองป่าวร้อง เชิญนักฟ้อน
ของพระเจ้ามหาปนาทนั้นประชุม. นักฟ้อน 6,000 พากันมาประชุม แบ่งกัน
เป็น 7 ส่วน พากันรำฟ้อน ก็มิอาจที่จะให้พระราชาทรงพระสรวลได้. ทั้งนี้
เพราะความที่ท้าวเธอเคยทอดพระเนตรกระบวนฟ้อนรำอันเป็นทิพย์มาช้านาน
การฟ้อนของนักฟ้อนเหล่านั้น จึงมิได้เป็นที่ต้องพระหทัย.
ครั้งนั้นจอมนักฟ้อน 2 นาย คือ กัณฑกรรณ และปัณฑุกรรณ คิดว่า
พวกเราจะให้พระราชาทรงพระสรวลให้ได้ พากันเข้าไปในท้องพระลาน.
บรรดาจอมนักฟ้อนทั้งสองคนนั้น กัณฑกรรณให้ปลูกต้นมะม่วงใหญ่ชื่ออตุละ
ที่พระราชทวาร แล้วขว้างกลุ่มด้ายขึ้นไปให้คล้องที่กิ่งของต้นมะม่วงนั้น แล้ว
ไต่ขึ้นไปตามเส้นด้าย. ได้ยินว่า ไม้มะม่วงชื่ออตุละ เป็นต้นมะม่วงของท้าวเวส-
วัณ ครั้งนั้นพวกทาสของท้าวเวสวัณก็พากันตัดกิ่งน้อยใหญ่ของต้นมะม่วงนั้น
นั้นโค่นลงมา. นักฟ้อนที่เหลือ เก็บกิ่งเหล่านั้นกองไว้แล้วรดด้วยน้ำ.
กัณฑกรรณนั้นนุ่งห่มผ้ากรองดอกไม้ลุกขึ้นฟ้อนรำไป. พระเจ้ามหาปนาททอด
พระเนตรเห็นเขาแล้ว ก็มิได้ทรงพระสรวลเลย. ปัณฑุกรรณได้ทำเชิงตะกอน
ไม้ในท้องพระลานหลวง แล้วเดินเข้าสู่กองไฟกับบริษัทของตน. ครั้นไฟดับ
แล้ว นักฟ้อนทั้งหลายเอาน้ำรดเชิงตะกอน. ปัณฑุกรรณนั้นกับบริษัท นุ่งห่ม
ผ้ากรองดอกไม้ลุกขึ้นฟ้อนรำ. พระราชาทรงทอดพระเนตรการนั้นแล้ว คง
มิได้ทรงพระสรวลอยู่นั่นเอง. เมื่อสุดฝีมือที่จะให้พระราชาพระองค์นั้นทรง
พระสรวล ฝูงคนก็พากันระส่ำระสายด้วยประการฉะนี้. ท้าวสักกะทรงทราบ
เหตุนั้น จึงทรงส่งนักฟ้อนเทวดาไปด้วยพระเทวบัญชาว่า ไปเถิดพ่อเอ๋ย จง
ทำให้พระมหาปนาทะทรงพระสรวลเสด็จอุฎฐาการจงได้เถิด. เทพนักฟ้อนนั้น

มายืนอยู่บนอากาศในท้องพระลานหลวง แสดงขบวนฟ้อนที่เรียกว่า อุปัฑฒังคะ.
มือข้างเดียวเท่านั้น เท้าก็ข้างเดียว ตาก็ข้างเดียว แม้คิ้วก็ข้างเดียว ฟ้อนไป
ร่ายรำไป เคลื่อนไหวไป ที่เหลือคงนิ่งไม่หวั่นไหวเลย. พระเจ้ามหาปนาทะ
ทอดพระเนตรเห็นการนั้นแล้ว ทรงพระสรวลหน่อยหนึ่ง. แต่มหาชนเมื่อ
หัวเราะ ก็สุดที่จะกลั้นความขบขันไว้ สุดที่จะดำรงสติไว้ได้ ปล่อยอวัยวะ
หมดเลย ล้มกลิ้งไปในท้องพระลานหลวง. มงคลเป็นอันเลิกได้ตอนนั้น
ข้อความที่เหลือในเรื่องนี้ พรรณนาไว้ในมหาปนาทชาดกที่มีคำว่า ปนาโท
นาเมโส ราชา ยสฺส ยูโป สุวณฺณมโย
เป็นต้น.
พระราชามหาปนาททรงกระทำบุญถวายทานเป็นต้น เมื่อสิ้นพระชนม์
ก็เสด็จไปสู่เทวโลกนั่นเอง.
พระศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
มหาปนาท ในครั้งนั้นได้มาเป็นภัททชิ สุเมธาเทวีได้มาเป็นวิสาขา
วิสสุกรรม
ได้มาเป็นอานนท์ ส่วนท้าวสักกะได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถาสุรุจิชาดก

7. ปัญจุโปสถิกชาดก



ว่าด้วยรักษาอุโบสถด้วยความคิดต่าง ๆ กัน


[1951] ดูก่อนนกพิราบ เพราะเหตุไร บัดนี้
เจ้าจึงมีความขวนขวายน้อย ไม่ต้องการอาหาร อดกลั้น
ความหิวกระหายมารักษาอุโบส.